แรกเริ่มเดิมทีฉันคิดอยากมา คิชิโจจิ (Kichijoji) เพราะที่นี่เป็นทางผ่านก่อนไปถึงจิบลิมิวเซียม (Ghibli Museum) สถานที่จัดแสดงผลงานของสตูดิโออะนิเมะชื่อดังระดับโลกที่หลายคนชื่นชอบ จัดโปรแกรมไว้เสร็จสรรพว่าตอนเช้ามาเดินเล่นในสวนอิโนะคาชิระ (Inokashira park) กินข้าวเที่ยงแถวสวนแล้วค่อยไปมิวเซียม จากนั้นช่วงเย็นจึงกลับมาเก็บตกเดินเล่นในย่านการค้า ก่อนจะนั่งรถไฟกลับเข้าตัวเมืองโตเกียว
สุดท้ายฝันสลายจ้ะ…
จิบลิมิวเซียมปิดปรับปรุงช่วงเดือนพฤษภาคม 2016 ที่ฉันไปเยือนโตเกียวพอดี แต่ไหนๆ ก็แพลนทริปมาอยู่โตเกียวตั้งสิบวัน มีวันว่างเหลืออยู่แล้ว เลยตัดสินใจมาแค่คิชิโจจิก่อนละกัน คราวหน้าถ้ามีโอกาสหวังว่าคงได้เจอกันสักทีนะจิบลิ พลาดมาสองครั้งแล้ว!
ฉันเริ่มต้นทริปวันนี้ที่ Cafe & Meal MUJI ถ้าใครเป็นแฟนของแบรนด์นี้อยู่แล้วอย่าลืมมาเช็กอินกันนะคะ คาเฟ่มูจิอยู่ชั้นบนของห้าง Marui Kichijoji ขายทั้งอาหารคาวแบบเป็นเซ็ตและของหวาน ราคาไม่แพงมาก อาหารชุดมีสองแบบ เลือกกับข้าวสามอย่าง 850 เยน เลือกกับข้าวสี่อย่าง 1,000 เยน เพิ่มเครื่องดื่ม 200 เยน เพิ่มซุปมิโซะ 150 เยน หรือเปลี่ยนข้าวธรรมดาเป็นข้าวธัญพืชเพิ่ม 100 เยน ส่วนของหวานอยู่ที่ประมาณ 380 – 500 เยน เท่าที่สังเกตดูคนส่วนใหญ่จะสั่งอาหารเซ็ตกัน
แต่ฉันเพิ่งกินข้าวเช้ามายังอิ่มตื้ออยู่ เลยสั่งเป็นเจลลี่รสชาโปะซอฟท์ครีม (450 เยน) กับชาเย็น (200 เยน) จืดๆ ขมๆ คล้ายชาที่อาม่าชงไหว้เจ้าเลยค่ะ เมนูไม่มีภาษาอังกฤษเลยเลือกผิดๆ ถูกๆ ตัวซอฟท์ครีมเข้มข้นอร่อยดีหวานมันหอมกลิ่นนม ส่วนเจลลี่จืดๆ ขมๆ รสชาติเดียวกับชาเย็นที่สั่งมา ข้อดีของที่นี่คือมีปลั๊กให้ชาร์จไฟด้วย และตกแต่งร้านโล่งโปร่งสบาย เรียบๆ แต่ดูดีสไตล์มูจิเขาล่ะ
เติมพลังเรียบร้อยได้เวลาออกลุย อื้อหือ! เห็นร้านรวงต่างๆ แล้วตาลุกวาว ข้าวของในย่านนี้ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ท้องถิ่นที่ราคาไม่แรงมาก ถ้าใครชอบเสื้อผ้าแนวแม่บ้านญี่ปุ่น วินเทจนิดๆ สีคุมโทนหน่อยๆ เน้นใส่สบายไม่ต้องหรูหรามาก กำเงินมาถลุงให้เต็มที่เลยค่ะ แต่เราต้องอดใจเดินผ่านร้านเสื้อผ้าไปก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาช้อปปิ้งให้หนำใจช่วงเย็น
ตอนนี้ขอไปเดินเล่นสวนอิโนะคาชิระ (Inokashira park) ก่อนนะ หากอยากสัมผัสวิถีชีวิตของชาวโตเกียว แนะนำว่าให้มาวันเสาร์-อาทิตย์ค่ะ เพราะที่สวนอิโนะคาชิระจะคึกคักมีสีสันมากเป็นพิเศษ มีสตรีทโชว์ทั่วสวนให้ชมกันแบบฟรีๆ และมีคนนำสินค้าทำมือมาวางขายด้วย พ่อแม่พาลูกเด็กเล็กแดงมาวิ่งเล่นเต็มไปหมด คู่รักหนุ่มสาวที่ควงแขนกันมาเดทก็เยอะมากเช่นกัน เดินกระซิบกระซาบชี้ชวนกันชมดอกไม้ใบหญ้า ถีบเรือเป็ดกันคิกคักๆ จู๋จี๋กันออกนอกหน้า งานนี้ใครมาคนเดียวมีเปลี่ยวนะคะ
สวนสาธารณะขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นสถานที่ชมซากุระที่มีชื่อเสียงไม่น้อยหน้าสวนอื่นๆ ในโตเกียว และในช่วงฤดูใบไม้ร่วงทั้งสวนก็จะสวยสะพรั่งไปด้วยใบไม้สีเหลืองสลับแดง ส่วนช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ฉันมา ไม่มีอะไรเป็นไฮไลท์ให้ดูเท่าไรค่ะ แต่ก็เขียวชอุ่มสดชื่นสบายตาสบายใจดี
ระหว่างเดินจากสถานีรถไฟไปที่สวนจะมีร้านขายอาหารตลอดทาง สามารถซื้อไปนั่งปิกนิกในสวนได้ มีดนตรีสดเพราะๆ ให้ฟัง รอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเด็กๆ ได้มาสัมผัสด้วยตัวเองแล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่ชาวโตเกียวพากันโหวตให้ที่นี่เป็นอันดับต้นๆ ของย่านที่อยากมาใช้ชีวิตอยู่
สำรวจสวนสาธารณะจนทั่วแล้ว ฉันก็เดินตามป้ายบอกทางและข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งเพื่อไปยังสวนสัตว์อิโนะคะชิระค่ะ สัตว์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของที่นี่คือ ‘คุณยายฮานาโกะ’ ช้างไทยวัย 69 ปี ทูตสันถวไมตรีที่เพิ่งล้มไปเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2559
ฮานาโกะอยู่ที่ญี่ปุ่นมาตั้งแต่อายุสองปีและเป็นที่รักของเด็กๆ มาก อยากเห็นช้างไทยไม่ใช่จะได้ดูกันง่ายๆ นะคะ ต้องยืนรอต่อแถวกันยาวเหยียดเพื่อจะเข้าไปดูฮานาโกะใกล้ๆ แต่อาจเพราะเป็นวันหยุดพอดี วันธรรมดาแม่และเด็กคงไม่เยอะขนาดนี้ ในสวนสัตว์มีร้านค้าขายน้ำ ไอติม ขนมที่ชื่อ Hanako Cafe ด้วย แล้วพอเข้าไปถึงด้านในปุ๊บก็ต้องเดินไปเรื่อยๆ ได้ดูผ่านๆ แค่ประมาณหนึ่งนาที
มีเด็กผู้หญิงวัยประถมคนหนึ่งดูตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นช้างไทย พอออกมาถึงด้านนอก ก็รีบวาดรูปฮานาโกะใส่สมุดไว้ทันที ถึงแม้จะจากไปแล้วฉันก็เชื่อว่าฮานาโกะน่าจะอยู่ในความทรงจำของคนญี่ปุ่นหลายๆ คน อย่างน้อยก็อยู่ในสมุดบันทึกของน้องผู้หญิงคนนั้นคนหนึ่งล่ะ
โซนนี้อยู่ใกล้ๆ กับทางเข้าสวนสัตว์ พ่อแม่จะพาเด็กๆ มาต่อคิวเป็นรอบๆ เพื่อเข้าไปเลือกหนูแฮมสเตอร์มาอุ้มเล่น พอหมดเวลาที่กำหนดก็เอาหนูไปคืน
ออกมาจากสวนสัตว์ก็เริ่มหิวนิดๆ เลยว่าจะไปเดินหาร้านอาหารแถวสถานีรถไฟ ซึ่งมีให้เลือกเยอะมากหลากหลายสไตล์และระดับราคา ร้านที่ดังในหมู่คนไทยและคนท้องถิ่นคือ Satou Steak House ร้านสเต็กเนื้อวัวมัตสึซากะ ถ้ามากินมื้อกลางวันช่วง 11.00 – 14.30 น. จะคุ้มมาก เพราะเขามีชุดอาหารกลางวันราคาย่อมเยาอย่าง Oil Yaki เนื้อสไลด์เสิร์ฟคู่ผัดผัก 1,200 เยน ขายแค่สิบที่ต่อวันเท่านั้น และที่ฉันปักหมุดไว้ว่าอยากลองมากคือ Satou Steak ขนาด 120 กรัม 1,600 เยน ทุกเมนูมาพร้อมข้าว ซุปมิโซะ เครื่องเคียง และเติมข้าวได้ไม่อั้น แต่ตอนที่ไปถึงร้านมันเลยเวลามื้อกลางวันไปแล้ว ถ้าเป็นเมนูปกติที่ขาย 11.00 – 20.30 น. ราคาเริ่มต้นที่ 2,600 บาท เกินงบไปหน่อยเลยไม่ได้ชิมค่ะ
ฉันไปกินข้าวหน้าเนื้อง่ายๆ ราคา 330 เยนแทน เพื่อเก็บเงินไว้ช้อปปิ้งและกินของหวาน
แหล่งช้อปของคิชิโจจิแบ่งออกเป็นสองโซนหลักๆ คือ Nakamichi Shopping Street และ Sun Road ร้านขายของกระจุกกระจิกสไตล์ญี่ปุ่นหรือที่เรียกว่า Zakka และของตกแต่งบ้านส่วนใหญ่จะอยู่ที่ถนน Nakamichi หลายๆ ร้านเป็นสินค้าทำมือน่ารักๆ ที่เจ้าของมานั่งขายเอง เดินสอดส่องแล้วจรรโลงใจมาก หรือถ้าชอบเดินห้างก็มีให้เลือกทั้ง Tokyu, Marui และ Parco ถ้าดูจากแผนที่จะเห็นว่าแหล่งช้อปปิ้งของคิชิโจจิอยู่รอบๆ สถานีรถไฟหมดเลย อยากไปร้านไหนเป็นพิเศษก็เปิดกูเกิ้ลแมปขึ้นมาเลยค่ะ อาจจะทำการบ้านมาหน่อยด้วยการปักหมุดร้านเหล่านั้นไว้ล่วงหน้า จะได้แบ่งโซนถูกไม่ต้องเดินย้อนไปย้อนมา หรือจะเดินมั่วๆ ซอกแซกไปเรื่อยก็สนุกไปอีกแบบ อันนี้แล้วแต่สไตล์การเที่ยวของแต่ละคน
เดินถึงประมาณทุ่มสองทุ่มร้านค้าก็ทยอยปิดกันแล้ว ก่อนนั่งรถไฟกลับเข้าใจกลางโตเกียว ฉันขอต่อเวลาให้วันพิเศษนี้อีกนิด ด้วยการไปกินเค้กสไตล์ฝรั่งเศสแสนอร่อยที่ Patisserie Kichijoji ร้านนี้เปิดตั้งแต่ 11.00 – 21.00 น. มีเมนูให้เลือกละลานตามาก หน้าตาน่ารักน่ากินไปเสียทุกอย่าง แต่มาคนเดียวเลยต้องยอมตัดใจเลือกแค่อย่างเดียว ไม่มีเมนูภาษาอังกฤษนะคะเดินไปชี้ที่ตู้แล้วก็ขึ้นไปนั่งรอที่ชั้นสอง ร้านตกแต่งด้วยโทนสีอ่อนแลดูสว่าง สะอาด สงบควรค่าแก่การจิบชาละเลียดเค้กเป็นอย่างยิ่ง
เค้กที่เลือกมีชื่อว่า Soleil (480 เยน + VAT) เป็นศัพท์ภาษาฝรั่งเศสแปลว่าดวงอาทิตย์ อร่อยมาก! ฐานล่างเป็นเนื้อเค้กนุ่มฟูเบา ชั้นถัดมาหอมหวานด้วยมูสมะม่วงที่มีส่วนผสมของเนื้อมะม่วงเป็นชิ้นๆ เพิ่มสัมผัสที่แตกต่าง ส่วนบนสุดเป็นมูสละมุนลิ้นอบอวลกลิ่นคาราเมลแทรกด้วยชั้นซอสส้ม รสชาติของแต่ละส่วนผสมผสานกันแล้วลงตัวมาก ช่วยเรียกสดชื่นและทำให้นึกถึงฤดูร้อนสมชื่อ Soleil จริงๆ ค่ะ ด้านบนมีครีมสดหวานอ่อนๆ ละลายบนลิ้นคล้ายครีมที่เสิร์ฟกับสโคนในร้าน Spoonful ซอยหลังสวน และมีเชอร์เบ็ตสีสันสดใสก้อนเล็กๆ วางเคียงมาหนึ่งก้อน ตัวเชอร์เบ็ตหอมราสป์เบอร์รี่และเปรี้ยวจัดมาก พอกินพร้อมเค้กแล้วกลบรสชาติเค้กไปหน่อย ฉันเลยเขี่ยออกมาห่างๆ แล้วเก็บไว้กินแยกต่างหากทีหลัง
ใครอยากสั่งเครื่องดื่มมากินกับขนม เขาก็มีชา กาแฟ ร้อน/เย็น ราคา 550 – 650 เยน + VAT ถ้าสั่งพร้อมเค้กจะลดราคาเครื่องดื่ม 100 เยน ฉันสั่งชาเย็นมาหนึ่งแก้ว รสชาติธรรมดาๆ ไม่คุ้มเท่าไหร่ แถมราคายังแพงกว่าเค้กอีก ปกติเขาก็มีน้ำเปล่าเสิร์ฟให้อยู่แล้วรู้งี้น่าจะสั่งเค้กสองชิ้นดีกว่า หักแต้มตรงเครื่องดื่มเล็กน้อย แต่ส่วนที่เหลือขอเทคะแนนให้หมดใจเลยค่ะ เดินทางสะดวกอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟและพนักงานก็บริการดีด้วย
ถ้ายังติดลมอยากเที่ยวต่อ ในละแวกคิชิโจจิก็มีผับ บาร์ ร้านดนตรีสดมากมายให้เลือกสรรค่ะ แอบกระซิบว่ามีสถานที่ลับๆ สำหรับคุณผู้ชายที่นิยมความสุขทางโลกด้วย อันนี้ไม่มีลายแทงให้นะคะ แต่ลองกูเกิ้ลดูก็เจอได้ไม่ยาก
หากมีโอกาสได้กลับมาเยือนโตเกียวครั้งที่ 3 ยังไงก็ต้องกลับมาซ้ำคิชิโจจิอีกรอบแน่นอน แต่คราวหน้าคงต้องหาแนวร่วมมาช่วยกินเค้กด้วยจะได้สั่งสัก 4-5 แบบมาชิมให้หนำใจ ย่านนี้จะมาแบบคู่รัก ครอบครัว หรือแก๊งเพื่อนก็เหมาะทั้งนั้นค่ะ ถ้าอยากมีวันเที่ยวสบายๆ ช้อปปิ้งแบบไม่รีบร้อน เก็บรายละเอียดรายทางไปเรื่อยเปื่อย ลองปักหมุดคิชิโจจิไว้เป็นทางเลือกหนึ่งดูนะคะ
การเดินทาง
- รถไฟ JR สาย Chuo Line จากสถานี Shinjuku ลงสถานี Kichijoji
- รถไฟ Keio สาย Inokashira จากสถานี Shibuya ลงสถานี Kichijoji
ค่าเข้าสวนสัตว์ 400 เยน เวลาทำการ 9:30. – 17:00 น. ปิดทุกวันจันทร์
—
สายการบินที่บินตรงจากกรุงเทพฯ ไปโตเกียวมีอยู่ด้วยกันหลายเจ้า การบินไทยก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจค่ะ เพราะนอกจากจะเป็น Full Service บริการครบครัน ได้น้ำหนักสัมภาระ 30 กิโลกรัมพร้อมอาหารแล้ว เขายังมีไฟลต์ให้เลือกหลายช่วงเวลา ที่เราชอบสุดคือบิน 22.10 น. หลับบนเครื่องสบายๆ แล้วไปถึงโตเกียวเช้าตรู่ 6.20 น. จัดแจงเอากระเป๋าไปฝากในโรงแรมแล้วก็ออกไปเที่ยวได้เต็มวัน โดยสามารถ จองตั๋วการบินไทยผ่าน Traveloka เขามีโปรโมชั่นโดนใจออกมาเป็นประจำ ทั้งช่วงในและนอกเทศกาล และมีศูนย์ให้บริการลูกค้าที่คอยให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมงด้วย
ปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระและรับสัมภาษณ์บุคคล หลงใหลการอ่านหนังสือ ชอบท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม สนใจเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ สนุกกับการดูซีรี่ย์และทดลองสูตรอาหารใหม่ๆ เมื่อมีเวลาว่าง
COMMENTS ARE OFF THIS POST