เวลารู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานและต้องการชาร์จพลังให้พร้อมกลับมาสู้ชีวิตอันโหดร้ายต่อไป (ดราม่าไปไหนคะหล่อน) เรามักจะอยากออกเดินทางไกล ปล่อยสมองโล่งๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่บางทีเงื่อนไขในชีวิตมันก็ไม่เอื้ออำนวยให้ทำแบบนั้น ถูกทวงงานยิกๆ ถ้าส่งไม่ทันนี่คือชะตาขาดแน่นอน #ปั่นงานวนไปค่ะ แต่ถ้าปล่อยให้ตัวเองห่อเหี่ยวต่อไปก็ไม่มีอารมณ์ทำงานอยู่ดี เราเลยต้องมี Hidden place สำหรับซ่อนตัวชั่วคราว ถือหนังสืออ่านง่ายๆ สบายๆ ไปสักเล่มแล้วก็จมอยู่ในนั้นเพื่อหลีกหนีจากโลกความเป็นจริงสัก 2-3 ชั่วโมง และสถานที่แห่งนั้นของเราก็คือ ‘ร้านกาแฟนรสิงห์’ ซึ่งตั้งอยู่ในอาณาบริเวณของพระราชวังพญาไท ภายในโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ย่านอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ข้อดีของที่นี่คือเดินทางด้วยรถประจำทางสะดวก ตอบโจทย์คนไม่มีรถขับอย่างเราเอามากๆ เพราะปกติเวลาจะนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้าบีทีเอสกลับบ้านก็ต้องมาต่อรถแถวนี้เป็นประจำอยู่แล้ว อีกเหตุผลหนึ่งคือเราชอบสถาปัตกรรมเก่าๆ ของไทยในยุคแรกๆ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกมาก ชอบโครงสร้าง ชอบโทนสี ชอบทุกอย่างเลย รู้สึกว่ามันสวยเรียบง่ายและดูคลาสสิกดี สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายในพระราชวังพญาไทเป็นการนำสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบโรมาเนสก์และโกธิคมาประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนไทย ลักษณะเด่นคือจะดูแน่นหนาเทอะทะๆ หน่อย ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งและสวยแบบเรียบๆ
ส่วนที่เป็นร้านกาแฟนรสิงห์ หรือ Cafe de Norasingha ในปัจจุบัน อดีตเคยเป็นอาคารเทียบรถพระที่นั่งมาก่อน อาคารชั้นเดียวแห่งนี้ตั้งอยู่หน้าพระที่นั่งพิมานจักรี มีหลังคาเป็นดาดฟ้าเชื่อมต่อกับชั้น 2 ของพระที่นั่ง แรกเริ่มเดิมทีใช้เป็นห้องพักรับรองของเหล่าเสนาบดีที่มารอเข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 6 ต่อมาในสมัยรัชการที่ 7 พระราชวังพญาไทได้รับการปรับปรุงเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งสำหรับให้ชาวต่างประเทศพัก ที่นี่ก็เปลี่ยนบทบาทมาเป็นห้องบิลเลียดของโรงแรม และเมื่อคณะราษฎรนำวังพญาไทมาสร้างโรงพยาบาลทหาร จากห้องบิลเลียดก็กลายมาเป็นสโมสรของนายทหารเสนารักษ์ เป็นห้องตรวจโรคนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เป็นห้องทำงานของผู้บังคับบัญชาสายแพทย์ในช่วงแรกที่ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้ามาตั้งในบริเวณนี้ เรียกว่าผ่านประสบการณ์มาเยอะจริงๆ ค่ะ
นอกจากตัวอาคารจะมีประวัติความเป็นมาน่าสนใจแล้ว ชื่อร้านเองก็มีเรื่องราวที่ควรค่าแก่การศึกษาเช่นกันค่ะ เพราะเดิมทีร้านกาแฟนรสิงห์เป็นร้านกาแฟเก่าแก่แห่งแรกของสยามประเทศที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยารามราฆพผู้ถวายงานรับใช้ (อดีตเจ้าของบ้านนรสิงห์ ซึ่งปัจจุบันเป็นทำเนียบรัฐบาล) ก่อตั้งขึ้นที่มุมสนามเสือป่า เพื่อให้ประชาชนใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ในสมัยรัชกาลที่ 6 ร้านนี้โด่งดังและเป็นที่นิยมมากในหมู่สังคมชั้นสูงและชาวต่างชาติ นอกจากจะเป็นคาเฟ่แล้วก็ยังจำหน่ายสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศด้วย
ร้านกาแฟนรสิงห์ปิดตัวไปในช่วงปี พ.ศ. 2475 และถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้งโดยมูลนิธิอนุรักษ์พระราชวังพญาไทฯ ในปี พ.ศ. 2553
สัญลักษณ์ รร เหนือบานประตู หมายถึง พระนามาภิไธย่อ รามราชาธิบดี ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เปิดประตูไม้บานใหญ่เข้าไปปุ๊บ เราจะรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลาเข้าไปอยู่ในอดีตกาลทันทีเลยค่ะ ทุกองค์ประกอบไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ การตกแต่ง ดนตรีสุนทราภรณ์ที่เปิดคลอเบาๆ นำพาอารมณ์โหยหาอดีตให้ล่องลอยตลบอบอวลอัดแน่นอยู่ในนั้น ไปร้านนี้ทีไรเราก็มักจะเจอแขกผู้ใหญ่สูงวัยที่ดูผู้ดี๊ผู้ดีนั่งอยู่ 1-2 โต๊ะเสมอ ฉันกำลังอยู่ในกรุงเทพฯ ยุคไหนเนี่ย? วิมานคนธรรพ์ลั่นฟ้ามาใกล้เอามากๆ นี่คือสวรรค์ของวินเทจเลิฟเวอร์โดยแท้
ลวดลายบนเพดานวาดโดยใช้เทคนิคปูนเปียก ทำให้สีติดทนทานแม้จะผ่านกาลเวลามานับร้อยปี
มาดูในส่วนของอาหารและเครื่องดื่มกันบ้าง โดยรวมถือว่าอยู่ในมาตรฐานที่พอใช้ได้ ราคาสูงพอสมควร หักลบกับบรรยากาศและความสะดวกในการเดินทางแล้ว ยังไงเราก็ยังชอบกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ดี
วันนี้สั่งเป็นฮอร์ลิคร้อน (65 บาท) กินคู่กับแอปเปิ้ลครัมเบิ้ล (100 บาท) เข้ากันดีค่ะ ซอสวานิลลาที่เสิร์ฟเคียงมาดีงามทีเดียว เข้มข้น เจือกลิ่นหอมอ่อนๆ ของวานิลลาแท้จากฝัก ทีแรกจะสั่งวาฟเฟิลแต่ไปตอนเพิ่งเปิดร้านเขายังทำแป้งไม่เสร็จ ของหวานที่นี่จะมีสองแบบค่ะ แบบแรกคือขนมในเมนู แบบที่สองคือเค้กประจำวันซึ่งจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ต้องถามจากพนักงานเอาว่าวันนี้มีอะไรบ้าง อย่างวันที่เรามาเมื่อหลายเดือนก่อนมีโอเปร่าเค้ก ส่วนวันนี้มีเครปเค้กชาไทยกับสตรอเบอร์รี่ชีสเค้ก
จัดการเซ็ตแรกเรียบร้อย นั่งแช่อีกสักพักเราก็สั่งมาอีกเซ็ต ไปคนเดียวแต่นั่งยาวหลายชั่วโมงเลยสั่งเยอะหน่อย อยากลองชิมอาหารคาวบ้างเลยสั่งชุดหมูเค็ม ขนมปังปิ้ง พริกขิงปลาดุกฟู (130 บาท) กับอิตาเลี่ยนโซดากีวี่ (60 บาท) เมนูนี้เขาชูโรงว่าเป็นซิกเนเจอร์ของร้านเลยค่ะ สูตรนำมาจากทายาทห้องเครื่องในรัชกาลที่ 6 ตัวหมูเค็มเนื้อนุ่มดี รสชาติเค็มจัดกลิ่นน้ำปลาชัดเจน เสิร์ฟมาถ้วยเล็กๆ ส่วนพริกขิงปลาดุกฟูรสชาติออกเค็ม หวาน เผ็ดนิดๆ กินคู่กับขนมปังปิ้งเป็นของว่างที่เคี้ยวเพลินดีค่ะ เสียแต่ว่ามันแห้งๆ ฝืดคอไปหน่อย คราวหน้ามาคงลองสั่งข้าวหน้าไก่ดูบ้าง เห็นเขาว่าเป็นตำรับเดียวกับพระตำหนักจิตรลดาฯ เลยค่ะ
ใครอยากแวะมาซึมซับกลิ่นอายของวันวานแบบนี้บ้าง ร้านกาแฟนรสิงห์เปิดให้บริการทุกวัน วันธรรมดาเปิด 8.30 – 19.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เปิด 9.00 – 19.00 น. ถ้าจะมาชมพระราชวังพญาไทด้วย เขาเปิดให้เข้าชม 4 วันค่ะ วันอังคารและวันพฤหัสบดี เวลา 13.00 น. ส่วนวันเสาร์และวันอาทิตย์มีสองรอบ 9.30 น. และ 13.30 น.
ปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระและรับสัมภาษณ์บุคคล หลงใหลการอ่านหนังสือ ชอบท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม สนใจเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ สนุกกับการดูซีรี่ย์และทดลองสูตรอาหารใหม่ๆ เมื่อมีเวลาว่าง
COMMENTS ARE OFF THIS POST